การเรียนการสอนบนความหลากหลายท่ามกลางความขัดแย้ง
คลิกเลือกเพื่ออ่านข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมใน “ไทยรัฐออนไลน์”
การเรียนการสอนบนความหลากหลายท่ามกลางความขัดแย้งเป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการจัดการและการใช้ประโยชน์จากความแตกต่างและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การเรียนรู้ ซึ่งสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการเข้าถึงความรู้และการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่ท้าทายและหลากหลาย
การเรียนการสอนบนความหลากหลายท่ามกลางความขัดแย้งเป็นเรื่องที่น่าสนใจและซับซ้อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาหรือองค์กรที่มีหลายความคิดและมุ่งหวังที่แตกต่างกัน ความหลากหลายนี้อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หรือความแตกต่างทางอาชีพ การเรียนการสอนในสภาวะแบบนี้อาจมีประโยชน์อย่างมากในการสร้างความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ที่หลากหลาย แต่ในเวลาเดียวกันก็อาจเกิดความขัดแย้งที่อาจส่งผลกระทบต่อสถาบันหรือองค์กรด้วย การจัดการความหลากหลายท่ามกลางความขัดแย้งเป็นทั้งอธิบายปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการเรียนการสอนและการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้และการสื่อสารระหว่างผู้เรียนที่มีหลายความคิดเห็นอาจช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจร่วมกันได้
ตอนที่ 1 หลักการและทฤษฎีความขัดแย้ง
ไทยรัฐออนไลน์: www.thairath.co.th/content/392626
การวิเคราะห์เกี่ยวกับความหลากหลายและความแตกต่างในการศึกษาในประเทศไทยเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ในประเด็นนี้ ในชั้นเรียนของไทยส่วนใหญ่จะมองข้ามความแตกต่างที่มีอยู่ในสังคมไทยและมองเห็นเฉพาะความเหมือนกัน และเนื่องจากสังคมไทยมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ สีผิว และลักษณะทางกายภาพที่ค่อนข้างคล้ายกัน ทำให้ความแตกต่างเหล่านี้ไม่ได้รับความสนใจอย่างเพียงพอในการสอนและการเรียนรู้ อย่างไรก็ตามในการศึกษาวิชาชีพครูในสหรัฐอเมริกา การจัดการความหลากหลายในชั้นเรียนเป็นหัวข้อที่สำคัญ และมีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยในเรื่องนี้เพื่อให้มีการจัดการความหลากหลายที่มีประสิทธิภาพ แต่ในบทความนี้ชี้ว่าการนำแนวคิด ความรู้ และทฤษฎีจากต่างประเทศมาใช้ในสังคมไทยอาจไม่เหมาะสมหรือไม่ได้ผลเต็มที่ เนื่องจากความเข้าใจและการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทยยังไม่เพียงพอ และองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับสังคมไทยยังขาดเพียงพอกว่าสามารถพิสูจน์คำอธิบาย
ความสำคัญของการยอมรับและเคารพความแตกต่างและความหลากหลายของบุคคลในสังคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและระบบการปกครองในสังคมที่ค่อนข้างคิดสากล และส่งเสริมความเป็นตัวตน (Individuality) และสิทธิและเสรีภาพของบุคคล (Individual Rights) ในการพัฒนาสังคม เช่น ในสหรัฐอเมริกา การยอมรับความแตกต่างนี้เป็นธรรมชาติและส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและระบบการศึกษาของพวกเขา ปัญหาที่ประเทศไทยพบเจอในการพัฒนาวัฒนธรรมที่ยอมรับความแตกต่างของบุคคล โดยการพยายามขจัดหรือกดดันความแตกต่างนี้ให้เป็นหนึ่งเดียว และการสร้างระบบการศึกษาที่ขัดแย้งกับการยอมรับความหลากหลาย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคม ทั้งนี้ มีการเสนอแนวทางให้ครูและนักการศึกษาเตรียมตัวให้เหมาะสมกับการจัดการความแตกต่างและความหลากหลายในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 2 สมธรรมทางการศึกษา
ไทยรัฐออนไลน์: www.thairath.co.th/content/395707
สมธรรมทางการศึกษาหรือความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งเป็นหลักการที่เน้นความเป็นธรรมและความเสมอภาคในการให้การศึกษา ตัวบทความมองเห็นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความเสมอภาคในการศึกษาไม่เพียงแค่ในระดับมหภาค (Macro Level) แต่ยังในระดับจุลภาค (Micro Level) ที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาแต่ละแห่ง ผู้เขียนเสนอให้ให้ความสำคัญและให้ความสนใจกับความแตกต่างและความหลากหลายในตัวบุคคลและรับรู้ว่าความแตกต่างเป็นสิ่งที่ธรรมชาติและควรได้รับการยอมรับ การสร้างค่านิยมที่ไม่ยอมรับความแตกต่างอาจนำไปสู่การแยกกลุ่มและความเกลียดชัง โดยบทความย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาที่เน้นความเสมอภาคเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการยอมรับของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา และเพื่อป้องกันการแยกกลุ่มและความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นในสังคม
ความหลากหลายและความเสมอภาค โดยให้ความสำคัญกับการยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลและความเท่าเทียมกัน บทความกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเสมอภาคและความหลากหลาย ว่าความหลากหลายมีส่วนที่ไม่เหมือนกันมากกว่าส่วนที่เหมือนกัน แต่ความเสมอภาคกลับครอบคลุมทั้งความเหมือนกันและความเท่าเทียมกัน ตัวอย่างที่ใช้เพื่ออธิบายคือนโยบายการศึกษาในอดีตของสหรัฐอเมริกาที่เน้นความแตกต่างแต่เท่าเทียมกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดความแยกแยะระหว่างคนผิวดำและคนผิวขาว และเนื้อหาเกี่ยวกับการยอมรับความแตกต่างในการศึกษา ระหว่างบุคคล โดยเน้นความเท่าเทียมกันและการยอมรับความแตกต่าง ในทางปฏิบัติ ความเป็นธรรมเป็นปัจจัยที่สำคัญในการปรับตัวให้เข้าใจและยอมรับความแตกต่าง แต่การปฏิบัติต่อบุคคลที่แตกต่างกันในเรื่องเดียวกันอาจขัดกับหลักของความเสมอภาค ดังนั้น การทำความเข้าใจและปฏิบัติต่อความแตกต่างและความเสมอภาคนั้นเกี่ยวข้องกับความเป็นธรรม
ตอนที่ 3 ลูกศิษย์กับครูและการประท้วงเชิงสัญลักษณ์
ไทยรัฐออนไลน์: www.thairath.co.th/content/399001
ความแตกต่างในความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับการศึกษาสูงขึ้น เช่น การฝึกหัดครูใน University of Helsinki ที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ในระดับโรงเรียน ในระดับการศึกษาพื้นฐานในประเทศไทยก็มีการเชื่อมั่นและยกย่องครู และจัดพิธีไหว้ครู เป็นต้น ความแตกต่างนี้เกิดจากความหลากหลายของลูกศิษย์ในระดับการศึกษาพื้นฐาน และการสอนของครูที่มุ่งเน้นการฝึกหัดทั้งในด้านวิชาการและการอบรมความประพฤติ ซึ่งมีวัฒนธรรม ศีลธรรม จริยธรรม และนิติธรรมเป็นส่วนสำคัญ แต่ในระดับการศึกษาสูงขึ้น เริ่มมีความสำคัญในอัตลักษณ์หรือเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล โดยผู้เรียนและผู้สอนมีความคิดและเชื่อของตนเองมากขึ้น และมีสิทธิในการแสดงความคิดและเชื่ออย่างเปิดเผยตามกฎหมาย ซึ่งอาจเกิดความขัดแย้งในความคิดความเชื่อระหว่างฝ่ายผู้เรียนและฝ่ายผู้สอน
การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Acts) ในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1960-1970 และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของการแสดงออกนี้ตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา บทความอ้างอิงถึงคำพิพากษาต่าง ๆ ของศาลสูงในสหรัฐอเมริกาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการประท้วงเพื่อสิทธิและเสรีภาพในสังคม นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการประเมินของศาลสูงในกรณีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของนักศึกษาในสถานศึกษา ซึ่งรวมถึงการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลมากกว่าสิทธิของสาธารณะที่จะรบกวนความเป็นส่วนตัวของบุคคล ในสังคมไทยนั้นมีแนวคิดที่มองว่าการเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและเน้นการเห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าตนเอง ซึ่งส่งผลให้การตีความแบบนี้อาจสร้างความเข้าใจผิดและความสับสน และส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทั้งในชั้นเรียนและนอกสถานศึกษา จึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจและการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
ตอนที่ 4 เจตคติทางการสอน
ไทยรัฐออนไลน์: www.thairath.co.th/content/403955
ปัญหาการแสดงออกของผู้เรียนในห้องเรียนที่ไม่ค่อยแสดงออกมากนัก และการไม่แสดงออกของผู้เรียนกลับกลายเป็นปัญหาที่ถูกหยิบยกขึ้นมา โดยมองดูจากมาตรฐานของประเทศตะวันตก และถูกมองว่าผู้เรียนของไทยส่วนมากขาดความกล้าในการแสดงออก อีกทั้งบรรยากาศการเรียนการสอนในห้องเรียนที่ไม่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาร่วมกัน โดยการตัดสินคุณค่าด้วยมาตรฐานของประเทศตะวันตก ทั้งนี้อีกทั้งยังมีการพูดถึงเสรีภาพในการแสดงออกในชั้นเรียนซึ่งถูกมองว่าเป็นเสรีภาพทางการสอนหรือเสรีภาพในการเลือกใช้วิธีการสอนของผู้สอน และเสรีภาพในการแสดงออกของผู้สอน อีกทั้งยังกล่าวถึงเจตคติทางการสอน (Pedagogical Attitude) ซึ่งมีผลต่อการพิพาททางด้านการสอน โดยตัวอย่างเช่นกรณีของอาจารย์ที่ไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้างเนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่เห็นด้วยกับเจตคติทางการสอน เป็นต้น
การสอนที่สร้างปัญหาและมีการโต้แย้งในสิทธิและเสรีภาพ อาจเป็นการละเมิดความเชื่อและความศรัทธา แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาจากศาลยุติธรรม ซึ่งสรุปได้ว่ายังไม่มีคำพิพากษาของศาลที่เป็นแนวทางในการวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินข้อพิพาทเรื่องนี้ให้เป็นตัวอย่างได้ แทนที่จะนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางกฎหมาย การแก้ปัญหาในการสอนส่วนใหญ่มักใช้วิธีการบริหารจัดการเช่นการย้ายครูหรืออาจารย์ที่มีเจตคติทางการสอนที่อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ ความเชื่อ หรือการปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ ในกรณีของสถาบันอุดมศึกษา การใช้วิธีการเปลี่ยนอาจารย์ผู้สอนหรือพักการสอนอาจถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหานั้น อีกทั้งยังมีพฤติกรรมอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาในการสอนอยู่ในจำนวนมาก เช่น การฟ้องร้องเรื่องการไม่รับผิดชอบทางการสอน, การลงโทษผู้เรียนที่ไม่เข้าสอนตรงตามเวลา, การส่งเกรดและผลการเรียนไม่ตรงตามเวลา, การไม่ทำแผนการสอนหรือการไม่จัดทำ มคอ.3 เป็นต้น
ตอนที่ 5 เสรีภาพทางวิชาการในห้องเรียน
ไทยรัฐออนไลน์: www.thairath.co.th/content/407097
เสรีภาพทางวิชาการของครูหรืออาจารย์ในสถาบันการศึกษา โดยการวิจารณ์ว่าสถาบันการศึกษาที่เป็นนายจ้างมีผลประโยชน์ที่มากกว่าเสรีภาพในการแสดงออกของอาจารย์ นั่นหมายถึงเสรีภาพในการแสดงออกของอาจารย์มหาวิทยาลัยในด้านเนื้อหาวิชาและพฤติกรรมการสอนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของมหาวิทยาลัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการของอาจารย์และกระบวนการทำงานของสถาบันการศึกษาได้ การใช้เสรีภาพทางวิชาการในประเทศไทยได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2550 มาตรา 50) และมีระดับคุ้มครองที่สูงเทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา โดยบทความสรุปแนวทางการชี้ขาดตัดสินในข้อพิพาทเกี่ยวกับเสรีภาพทางวิชาการในสหรัฐอเมริกา โดยมีคำพิพากษาในกรณี Pickering v. Board of Education, 391 U.S. 563 (1968) เป็นแนวทางปฏิบัติ
เสรีภาพทางวิชาการในห้องเรียน (Academic Freedom in the Classroom) โดยในกรณีของ Clark v. Holmes (474 F.2d 928, 7th Cir. 1972) ที่เกี่ยวกับความเสรีภาพทางวิชาการของอาจารย์ในการสอนที่มหาวิทยาลัย Northern Illinois University ในกรณีนี้ Clark ถูกแจ้งว่าถ้าไม่แก้ไขการกระทำในการสอนบางประการ เช่น ให้คำปรึกษามากเกินไปกับนักศึกษา หรือไม่ส่งนักศึกษาไปให้ฝ่ายแนะแนวที่เกี่ยวข้อง หรือศึกษาวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องทางเพศมากเกินไป และดูถูกอาจารย์ผู้อื่นและนักศึกษาที่ได้รับการต่อสัญญา อาจถูกให้ระงับการสอน นอกจากนี้ ศาลในกรณีนี้ตัดสินให้เสรีภาพทางวิชาการของ Clark ไม่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ โดยศาลสรุปว่าเสรีภาพทางวิชาการในชั้นเรียนไม่ใช่เสรีภาพสาธารณะที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง และข้อพิพาทของ Clark ไม่ใช่เรื่องที่เป็นสาธารณะ แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตำแหน่งงานและการกระทำในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ดังนั้น สถาบันการศึกษามีสิทธิ์ควบคุมเสรีภาพทางวิชาการของอาจารย์ในการสอน
การศึกษาในระดับอุดมศึกษามีเสรีภาพทางวิชาการมากกว่าการศึกษาในระดับพื้นฐาน เนื่องจากการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นนโยบายสำคัญที่กำหนดคุณลักษณะของพลเมืองและวางรากฐานที่เป็นสมรรถนะสำคัญให้กับพลเมืองของประเทศ การศึกษาขั้นพื้นฐานยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศด้วย การให้เสรีภาพในระดับนี้มากเกินไปอาจส่งผลให้นโยบายหรือเป้าหมายสำคัญของประเทศเสียหายได้ ในกรณีของ Clark เป็นข้อพิพาทในเรื่องเสรีภาพทางวิชาการในระดับอุดมศึกษา อาจารย์ผู้สอนมีข้อจำกัดเสรีภาพทางวิชาการโดยมีข้อเท็จจริงบางประการที่จำกัดเสรีภาพทางวิชาการของอาจารย์ในระดับอุดมศึกษา โดยเป็นเรื่องการปฏิบัติงานประจำมากกว่าการแสดงออกทางความคิด และเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวมากกว่าเป็นเรื่องสาธารณะ อาจก้าวล่วงไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นในฐานะตำแหน่งงานมากกว่าในฐานะพลเมือง
ศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
Post navigation