ให้คำปรึกษาปัญหากฎหมาย

การทำนิติกรรม สัญญา การลงทุน การค้าระหว่างประเทศ
คดีปกครอง ทรัพย์สินทางปัญญา ภาษี เศรษฐกิจ คอมพิวเตอร์

ไม่รับปรึกษา
คดียาเสพติด คดีความมั่นคง และคดีอาญา
โดยทีมงานกฎหมายและสำนักงานทนายความ
ติดต่อได้ที่ kwmongkut@outlook.com

ภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับ (Esoteric Wisdom)

ศาสตราจารย์ ดร. กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์

บทนำ

ปัญหาปัจจุบันถึงแม้จะเป็นปัญหาที่เคยมีมาก่อนแต่ยังคงเกิดขึ้นอีกซ้ำๆ ทำให้การแก้ปัญหาอาจต้องเพิ่มวิธีการที่ใช้ภูมิปัญญาขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะเป็นปัญหาที่ดูเผินๆ จากภายนอกเหมือนเป็นปัญหาเดิมๆ แต่ความซับซ้อนของปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายในมีมากขึ้น การแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ใช้ภูมิปัญญาขั้นสูงที่อาจเป็นภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับที่มีอยู่เฉพาะคนหรือเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่ทราบถึงภูมิปัญญาหรือความรู้ระดับนั้น ไม่อาจใช้ความรู้ทั่วๆ ไปที่มีการเรียนการสอนอยู่ในระบบการศึกษา หรือความรู้สาธารณะที่ใครๆ ก็อาจเรียนรู้ได้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาสามัญที่เปิดเผยทั่วไป

ใครๆ สามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก (Exoteric Wisdom) ความรู้หรือภูมิปัญญาระดับสามัญนี้อาจไม่สามารถแก้ปัญหาที่ล้ำลึกและลึกลับได้เช่นกัน ถ้าผู้ที่จะมาแก้ปัญหาไม่มีภูมิปัญญาขั้นสูงก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาที่ล้ำลึกและลึกลับได้ แต่อาจกลับสร้างปัญหาใหม่อีกต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ และเพิ่มความซับซ้อนของปัญหามากขึ้นๆ จนยากที่จะใช้ภูมิปัญญาสามัญแก้ไขได้ เช่นปัญหาการศึกษาของประเทศที่พบเห็นอยู่ทุกวันนี้ จนมีการยอมรับหรือยอมแพ้ว่าเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้จากผู้มีเพียงองค์ความรู้สามัญ

อะไรคือภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับ (Esoteric Wisdom)

ความรู้ของภูมิปัญญาประเภทนี้ ได้แก่

  1. ความรู้ที่สอนในกลุ่มเฉพาะ เช่นคำสอนของกลุ่มลัทธิหรือคำสอนของทางศาสนาต่างๆ และความรู้ของชนเผ่าชาติพันธุ์ที่ยังรักษาเผ่าพันธุ์ไว้ได้ จะมีผู้รู้จำนวนไม่มาก เป็นองค์ความรู้ในการแก้ปัญหาในชีวิตของมนุษย์และสังคมมนุษย์ เป็นความรู้ชั้นสูงที่ถูกถ่ายทอดในกลุ่มเฉพาะ ไม่ต้องใช้ความสามารถในการทำความเข้าใจการเกิดขึ้นของความรู้และการค้นหาต้นกำเนิดความรู้ เพียงแต่ฝึกที่จะเข้าถึงความรู้และใช้ความรู้นั้นเพราะถูกปกปิดและเลือกจะสั่งสอน ถ่ายทอดกันในกลุ่มเท่านั้น
  2. ความรู้หรือคำสอนของนักปรัชญาในอดีต โดยเฉพาะนักปรัขญาของกรีกโบราณ เช่นพวก Stoicism โดยสามารถเชื่อมโยงความรู้กับธรรมชาติของจักรวาลและธรรมชาติของมนุษย์ เป็นความรู้ที่ไม่แพร่หลายกับบุคคลทั่วไป นอกจากยากที่จะเข้าใจได้แล้วยังเกิดจากขาดแรงจูงใจในผลของความรู้ที่ไม่อาจนำไปตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตได้ หรือเอาไปทำมาหากินสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยไม่ได้โดยตรง
  3. ความรู้ที่ต้องใช้ความพยายามอุตสาหะอย่างมากทั้งทางร่างกายและจิตใจเพื่อจะเข้าถึงความรู้นั้น เช่น ความรู้เรื่องการทำงานของจิตในพระพุทธศาสนา และการหยั่งรู้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติหน้าที่หรือการลงมือกระทำจนเกิดการหยั่งรู้ทักษะขั้นสูงด้วยตนเอง รวมทั้งความรู้ที่เกิดจากกระบวนการวิจัย หรือใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนด้วยเช่นกัน
  4. ความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดด้วยการใช้ภาษาของมนุษย์ เนื่องจากภาษาที่มนุษย์ใช้อยู่บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตามทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ประเภทนี้ได้อย่างบริบูรณ์ ไม่มีคำศัพท์ หรือประโยคที่จะอธิบายได้อย่างครบถ้วนให้รู้และเข้าใจได้
  5. ความรู้ที่ใช้พลังอินทรีย์ของคนระดับสูงในการเรียนรู้ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้ มีเพียง 3 % โดยประมาณ ของมนุษย์ทั้งหมดเท่านั้นที่จะมีความสามารถเรียนรู้ได้ เป็นข้อจำกัดและถูกเลือกตามความสามารถที่มีอยู่ตามธรรมชาติของการกระจายตามรูประฆังคว่ำหรือโค้งปกติที่จะคัดเลือกบุคคลที่อยู่ในระดับซิกม่าที่สองขึ้นไปจึงจะเรียนรู้ได้

ลักษณะ 5 ประการนี้เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของความรู้ประเภทล้ำลึกและลึกลับ (Esoteric Knowledge) เมื่อใดก็ตามที่ความรู้ประเภทนี้ควรต้องเปิดเผยออกมา จะเป็นการยากที่ผู้รู้จะเปิดเผยได้เช่นกัน เพราะไม่อาจทำให้ปุถุชนคนธรรมดาสามารถเข้าใจได้ ภาษาที่มนุษย์ใช้กันส่วนมากไม่อาจถ่ายทอดออกมาได้ ผู้ที่จะเข้าใจได้ต้องเป็นคนพิเศษ หรือจะรับรู้ได้ต้องลงมือปฏิบัติบางอย่างเสียก่อน

กระบวนการระหว่างการปฏิบัติจะได้องค์ความรู้เกิดขึ้นถึงแม้ไม่ใช่เป้าหมายหลักที่ตั้งไว้ก็ตาม เพราะความรู้บางอย่างมีเป้าหมายตั้งไว้เพื่อลวงให้เชื่อว่ามีเป้าหมายเท่านั้นแต่ไม่มีอยู่จริงหรือเป็นจริงได้เลย เจตนาเบื้องลึกเพื่อให้ได้ความรู้ระหว่างการปฏิบัติเป็นสำคัญ

เมื่อผู้มีปัญญาได้พบความรู้นั้นแล้วจะเข้าใจว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่เดิมเป็นเพียงอุบายเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ต้องการให้รู้ และเมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้แล้วก็ไม่ต้องการเป้าหมายที่ลวงไว้แต่ต้น สิ่งที่ได้ระหว่างทางมีความสำคัญมากกว่าปลายทาง ผู้จะทราบได้ต้องมีคุณสมบัติพิเศษสำหรับความรู้ที่ล้ำลึกและลึกลับเหล่านั้น บางท่านนำกระบวนการเข้าถึงความรู้นี้ไปบิดเบือนและนำความรู้ประเภทนี้ไปรวมกับเดรัจฉานวิชาในศาสนาพุทธตามที่พระพุทธเจ้าบรรยายไว้ รวมทั้งไสยศาสตร์ซึ่งแตกต่างกันกับความรู้ล้ำลึกและลึกลับอีกด้วย

ลักษณะผู้ที่มีภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับ (Esoteric Person)

ผู้มีภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับมีลักษณะบางอย่างแตกต่างจากคนทั่วไปทั้งความคิด การกระทำ และการใช้ชีวิต คนเหล่านี้จะมุ่งมั่นใฝ่หาความรู้เงียบๆ ใช้ความรู้ที่ตนมีอยู่อย่างระมัดระวัง แต่ไม่ถึงกับเก็บตัวจนไม่มีใครรู้จัก พวกเขาจะเปิดเผยความรู้เมื่อเวลาที่เหมาะสมกับคนหรือกลุ่มคนที่เหมาะสมตามเวลาและโอกาสอันควร พวกเขาจะใช้ชีวิตเรียบง่าย อาจเป็นนักบวช ผู้ทรงศีล เช่น พระ แม่ชี ฤษี หรือสมาชิกของสมาคม ชมรมต่างๆ ที่มีความสนใจเฉพาะเรื่อง รวมทั้งนักวิชาการอิสระที่มีความรู้เฉพาะตัว ตัวอย่างของผู้ที่มีลักษณะ Esoteric ในอดีต เช่น Giordano Bruno เป็นนักปรัชญาและนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีในช่วง คริสศตวรรษที่ 16 เขามีความเชื่อเกี่ยวกับโลกและจักรวาลที่แตกต่างไปจากความเชื่อของคนทั่วไปในสมัยนั้น ถึงแม้เขาจะได้รับผลที่เลวร้ายจากการเปิดเผยความรู้ของเขาแต่สุดท้ายได้พิสูจน์ว่าความเชื่อหรือความรู้ของเขาถูกต้อง เช่นเดียวกับ กาลิเลโอ ที่เชื่อว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลและความเชื่ออื่นๆ ของเขาซึ่งเป็นความเชื่อที่ขัดหรือแย้งกับความเชื่อของคนทั่วไปในขณะนั้น และต่อมาพิสูจน์ได้ว่าความเชื่อหรือความรู้ของเขาถูกต้องเช่นกัน

องค์ความรู้ของผู้มีภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับ มักไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป ผู้ที่มีภูมิปัญญาระดับสามัญมองว่าไร้สาระเป็นความรู้ของผู้มีสติปัญญาไม่บริบูรณ์ แต่ในปัจจุบันการให้ความสนใจกับองค์ความรู้ที่แปลกใหม่ถูกเรียกว่า “นวัตกรรมทางความคิด” และมีการส่งเสริมให้คิด “นอกกรอบ” หรือคิดแตกต่างจากแบบแผน (Archetypes) ที่เชื่อถือกันมาจากนักวิชาการรุ่นเก่าๆ เช่น Carl Jung ที่เป็นผู้กล่าวถึงแบบแผน หรือ Archetypes ต่างๆ ในสังคมมนุษย์เช่น แม่ เป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูบุตร ส่วน พ่อ เป็นผู้นำครอบครัวดูแลรักษากฎระเบียบในครอบครัว และยังเป็นผู้กล่าวถึง จิตไร้สำนึกร่วม หรือ Collective Unconscious ซึ่งเป็นเรื่องจิตไร้สำนึกของมนุษย์ ความจำ การสั่งสมประสบการณ์นำไปสู่การเกิดแบบแผนของมนุษย์ในสังคม ความรู้แบบนี้เป็นความรู้ที่ถูกปรับและตัดตอนมาใช้สำหรับการสั่งสอนและเข้าใจกันได้ทั่วไป ยังมีอีกมากที่ไม่นำมาสั่งสอนเนื่องจากยากเกินไปที่ปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้ และที่สำคัญอาจไม่ตอบสนองความต้องการในโลกทุนนิยมหรือวัตถุนิยม หมายถึง ผู้มีภูมิปัญญานี้อาจไม่แสดงความมั่งคั่ง ร่ำรวยตามแบบที่สังคมทุนนิยมต้องการ

การส่งเสริมให้ค้นหาองค์ความรู้เรื่องการทำงานของจิตและพฤติกรรมมนุษย์ที่แตกต่างไปจากเดิมเริ่มได้รับความสนใจและส่งเสริมมากขึ้นเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาในสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น การเข้าถึงความรู้ด้านจิตและพฤติกรรมมนุษย์สามารถสร้างความเข้มแข็งทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้ ผู้ที่ร่ำรวย มีอำนาจและอิทธิพลระดับโลกทั้งหลายล้วนมีองค์ความรู้ล้ำลึกและลึกลับเฉพาะตน ในทางวิทยาศาสตร์กายภาพประเทศมหาอำนาจเช่นสหรัฐอเมริกามีองค์ความรู้ขั้นสูงที่ล้ำลึกและลึกลับและถูกจัดลำดับชั้นความรู้ไว้รอวันที่จะปล่อยออกมาให้ได้รับรู้ เรียนรู้และใช้งานกับคนทั่วไป ตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตได้แก่องค์ความรู้เรื่อง แสงอินฟาเรด (Infrared: IR) มีความยาวคลื่นในช่วงที่สายตามองไม่เห็นแต่รับรู้ถึงความร้อนได้ มีการค้นพบความรู้นี้ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองโดยไม่เปิดเผยเป็นความรู้สาธารณะ แต่ถูกนำไปใช้ในการสร้างอาวุธนำวิถีที่แม่นยำสามารถทำลายเป้าหมายได้อย่างแน่นอนชัดเจนกว่าระบบอาวุธสมัยก่อน แต่กว่าจะปล่อยออกมาให้ได้เรียนรู้และใช้เป็นรีโมทคอนโทรลควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นเครื่องรับโทรทัศน์ก็ผ่านไปหลายสิบปี หรือเมื่อจนกว่าจะมีความรู้ชั้นสูงกว่าแล้วจึงลดระดับชั้นความรู้ขั้นนี้ลงมาให้คนทั่วไปได้เรียนรู้ และใช้ประโยชน์ ยังมีองค์ความรู้ล้ำลึกและลึกลับทางวิทยาศาสตร์กายภาพอีกมากที่ประเทศมหาอำนาจจัดขึ้นระดับชั้นความลับไว้ เช่น เรื่อง Quantum Physics ไม่อาจเปิดเผยให้เป็นความรู้สาธารณะได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่มีความรู้พื้นฐานไม่เพียงพอจะเรียนรู้ได้ หรือเพื่อความมั่นคงของชาติ อาจเปิดเผยหรือพูดถึงว่าเป็นเพียงการจินตนาการหรือนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น

ภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับสำคัญอย่างไร

ปัญหาในปัจจุบันมีความซับซ้อน ลึกล้ำ มีตัวแปรหลายตัวมาเกี่ยวข้องมากกว่าปัญหาในอดีต องค์ความรู้เดิมไม่เพียงพอจะแก้ปัญหาใหม่ๆ ได้หรือจะใช้วิธีการเดิมๆ เพื่อจะได้ผลที่แตกต่างไปจากเดิมย่อมไม่เป็นเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ จึงจำเป็นต้องใช้ภูมิปัญญาแบบใหม่ที่ล้ำลึกและลึกลับในการแก้ปัญหา

การพัฒนาภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับจะเกิดขึ้นจึงต้องใช้วิธีการใหม่ที่เหมาะสมจึงจะพอมีหวังในการสร้างภูมิปัญญาเช่นนี้ องค์ความรู้ที่มนุษย์มีอยู่ในปัจจุบันอาจจะเพียงพอสำหรับการมีชีวิตที่สงบสุขบนดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ ถ้าพอใจว่าองค์ความรู้ที่มีอยู่สามารถพัฒนาให้มนุษย์มีความเจริญได้ถึงทุกวันนี้เพียงพอแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาองค์ความรู้ล้ำลึกและลึกลับแต่อย่างใด และถ้าคิดว่าโลกในอนาคตจะมีความแตกต่างจากทุกวันนี้

ความรู้ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับโลกอนาคตจะใช้เนื้อหาความรู้เดิมๆ วิธีการเรียนการสอนแบบเดิมๆ จะสามารถสร้างคนในโลกอนาคตใหม่ได้เช่นกัน ก็ไม่ต้องขวนขวายหาภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ความจำเป็นสำหรับภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับจึงมีความสำคัญที่ต้องแสวงหาและเตรียมการนำมาใช้สำหรับแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในปัจจุบันและสำหรับอนาคต

อันตรายของภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับ

ภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับ เป็นการบอกในตัวเองว่าอาจเกิดอันตรายได้ ถ้าไม่ระมัดระวังและมีความรู้ไม่เพียงพอ ความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายมีดังต่อไปนี้

  1. ผลกระทบทางจิตใจ การเข้าถึงองค์ความรู้แบบนี้ต้องมีการใช้พลังทางจิตอย่างมากถ้าไม่ได้รับการชี้นำจากผู้สอนที่ดีหรือผู้มีความเข้าใจอย่างแท้จริงจะทำให้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจของบุคคลที่มีพลังจิตอ่อนหรือไม่พร้อมจะเรียนรู้ เนื่องจากประสบการณ์ที่ได้รับมีมากท่วมท้น ซับซ้อนจนเกินความสามารถในการรับรู้และเข้าใจของบางคนได้ ทำให้กลายเป็นผู้วิกลจริตหรือเป็นบ้าได้
  2. ความสมดุลของจิตวิญญาณเสียไป การเข้าถึงความรู้แบบนี้จะใช้พลังและความอุตสาหะในการปฏิบัติทุ่มเทมากกว่าความเข้าใจที่เคยทำอยู่เป็นปกติ มีความแตกต่างจากการเข้าถึงความรู้อื่นที่ผู้อื่นเรียน หรือไม่เหมือนกับวิธีการเรียนแบบปกติของคนทั่วไป ทำให้เกิดภาวะไร้ความสมดุลทางความคิดและจิตวิญญาณในตนเอง มีความสงสัยและสับสนในตนเอง ทำให้ส่งผลด้านลบตามมาต่อบุคลิกภาพ ความคิด การกระทำตลอดจนการใช้ชีวิตประจำวัน
  3. การหาประโยชน์ส่วนตน เป็นธรรมดาที่ผู้เข้ามารับการฝึกเพื่อการเข้าถึงความรู้แบบนี้อาจไม่เข้ามาด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ทุกคน บางคนอาจเข้ามาฉวยโอกาสหาผลประโยชน์กับผู้อ่อนแอกว่า หรือเข้ามาครอบงำควบคุมผู้อื่นด้วยพลังของตนที่แข็งแรงกว่า หรือด้วยเงื่อนไขต่างๆ ที่มีการจัดกระทำขึ้น ตลอดจนการสร้างชุมชนของผู้ที่เข้าถึงความรู้แบบนี้อาจใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการใช้ความรู้ในทางที่ผิด อาจส่งผลถึงความมั่นคงระดับชาติได้เช่นกัน
  4. ผลกระทบของสุขภาพทางกายภาพ การฝึกตนหรือการปฏิบัติตนเพื่อเข้าถึงความรู้แบบนี้อาจกระทบต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจได้ ถ้าไม่ได้รับการชี้นำและสั่งสอนที่เหมาะสมจะทำให้ร่างกายได้รับอันตรายและขาดความสมดุลกับจิตได้ เนื่องจาก “สารสื่อประสาท” เช่น Dopamine และ Serotonin ขาดความสมดุลในร่างกาย อาจมีมากไปหรือน้อยไปทำให้สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตผิดปกติได้
  5. เป็นคนหลุดโลกแห่งความจริง การเข้ารับการฝึกเพื่อความรู้แบบนี้อาจขาดความสัมพันธ์กับโลกของความจริง ไม่อยู่บนความปกติของบุคคลทั่วไปในการใช้ชีวิต อาจมีความแปลกแยกและหลีกหลบออกจากผู้คนและสังคม ไม่อาจสื่อสารหรือสมาคมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น ยึดมั่นกับความรู้ของตนและพวก ยินดีตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่ออยู่กับตัวเองหรือกลุ่มของตนเอง มีความซึมเศร้า หรือมีอาการทางจิตประสาทไม่คงเส้นคงวา
  6. ใช้ทรัพยากรมากในการลงทุน การแสวงหาภูมิปัญญาแบบนี้ ต้องลงทุนสูงและมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวสูงเช่นกัน การตัดสินใจดำเนินการสร้างภูมิปัญญาแบบนี้ด้วยเงินทุนจากรัฐบาลจึงเป็นความยากลำบาก ส่วนมากจะเกิดจากบุคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจแสวงหาภูมิปัญญาแบบนี้อย่างจริงจังด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง จึงมีภูมิปัญญาแบบนี้น้อยมาก และถูกปกปิด หวงแหนไม่ยอมนำมาใช้ได้อย่างเปิดเผย หลายสิ่งหลายอย่างได้ตายไปพร้อมกับผู้รู้

ภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับอยู่ที่ใหน

เมื่อทราบลักษณะของผู้มีภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับแล้ว จึงไม่เป็นการยากที่จะค้นหา ความยากจึงอยู่ที่การพิสูจน์ว่าผู้ที่คิดว่าเป็นผู้มีปัญญาล้ำลึกนั้นเป็นคนที่ค้นหาหรือไม่ คนเหล่านั้นไม่ได้หลบอยู่ในถ้ำ หรือหลีกลี้หนีหน้าผู้คนจนยากแก่การค้นหาเหมือนในนิยาย หรือนิทานแต่อย่างใด เพียงแต่การทำให้ภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับที่มีอยู่ในตัวของคนเหล่านั้นให้เป็นที่ประจักษ์อาจต้องมีเงื่อนไข สถานการณ์ หรือใช้เวลาอย่างเหมาะสมจึงจะค้นพบ ความต้องการองค์ความรู้อะไร เพื่อแก้ปัญหาอะไร จึงเป็นลำดับความสำคัญสูงกว่าการค้นหาผู้มีภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับ การค้นหาและคัดเลือกคนที่มีภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับนั้น ไม่ควรใช้วิธีการหรือทฤษฎีทางการบริหารบุคคลทั่วไปมาใช้ เช่น การเปิดรับสมัครสอบคัดเลือก สอบแข่งขัน หรือสอบสัมภาษณ์ โดยพิจารณาจากคุณวุฒิ ประสบการณ์ ตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่ควรใช้วิธีค้นหา และชวนเชิญหรือร้องขอผู้ที่เชื่อว่ามีองค์ความรู้ล้ำลึกและลึกลับนั้นมากกว่าการเปิดรับให้ผู้มีความรู้ล้ำลึกและลึกลับเข้ามาหาเอง เพราะโอกาสจะได้ผู้มีภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับด้วยวิธีนี้มีน้อยมาก เนื่องจากพวกเขาจะหวงแหนความรู้และเก็บตัวไม่ต้องการเปิดเผย การใช้ความพยายามเชิญชวนจึงเป็นหนทางที่จะได้ผู้มีความรู้และองค์ความรู้ล้ำลึกและลึกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม

สรุป

ภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับเป็นสิ่งที่ยากแก่การได้มาทั้งในรูปขององค์ความรู้และตัวผู้รู้ ผู้ที่มีภูมิปัญญาล้ำลึกและลึกลับก็มีจำนวนไม่มาก ผู้ที่เปิดเผยตัวว่าเป็นผู้มีภูมิปัญญาแบบนี้จนเป็นที่ยอมรับและรู้จักแพร่หลายยิ่งน้อยลงไปอีก ตลอดจนการสร้างคนให้มีภูมิปัญญาแบบนี้ยิ่งมีความยากมากเกินกว่าที่จะคาดหวังผลได้ อีกทั้งมีความเสี่ยงหรืออันตรายในการสร้างผู้มีภูมิปัญญาแบบนี้อีกมาก การค้นหาผู้มีภูมิปัญญาแบบนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นหาและอาจไม่เป็นผู้ที่มีความสามารถในการบริหารจัดการองค์ความรู้ของตนให้เกิดประโยชน์ได้เช่นกัน เพียงแต่มีองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาเท่านั้น การนำผู้มีภูมิปัญญาแบบนี้มาจึงต้องมีมาตรการรองรับการบริหารจัดการความรู้ให้เกิดผลด้วยเช่นกัน เพราะไม่อาจรับประกันได้ว่าผู้มีองค์ความรู้หรือมีภูมิปัญญาแบบนี้จะสามารถบริหารจัดการความรู้ให้เกิดประโยชน์ได้เช่นกัน

แหล่งอ้างอิง และสำหรับการค้นคว้าเพิ่มเติม
https://meridianuniversity.edu/content/deciphering-the-esoteric-meaning-a-conceptual-analysis#:~:text=Esoteric%20knowledge%20is%20private%2C%20obscure,shared%20among%20the%20general%20public.